N์orway

POSTED BY TRAVELBARADMIN | Thursday, August 29, 2019 - 12:23

พอถึงช่วงปลายปีในขณะที่ชาวสแกนดิเนเวียนบางส่วนหนีหนาวมาพักผ่อนกันในประเทศแถบเมืองร้อนอย่างบ้านเรากันมากมาย พวกเราก็ถือโอกาสนี้สวนทางไปรับความหนาวที่บ้านของเขาบ้างน่าจะดี เพราะปรากฏการณ์แสงเหนือ และสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติของนอร์เวย์ก็จัดว่าสวยงามระดับ 10 10 10

สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ในออสโล Photo by Christoffer EngströmบนUnsplash

เริ่มการเดินทางจากรุงเทพฯ บินตรงไปออสโล (Oslo) เมืองหลวงของนอร์เวย์ใช้เวลา ประมาณ 14 ชั่วโมง มาถึงออสโลแล้วก็ต้องแวะเที่ยวในเมืองสักหน่อย การเดินทางในเมืองก็ไม่ยาก แค่นั่งรถไฟจากสนามบินเข้าไปยัง Oslo Central Station (Oslo S) สถานีชุมทางกลางเมือง ก็สามารถเดินเที่ยวชมสถานที่ในละแวกใกล้เคียงได้ หรือจะนั่งรถเที่ยวรอบเมือง แล้วลงเดินเล่นในบางจุด สุดแต่กำลังขาจะพาเราไปได้ไกลแค่ไหน รวมทั้งสภาพอากาศว่าเหมาะแก่การเดินเที่ยวเพียงไร ที่ออสโลในฤดูร้อนอากาศจะเย็นสบายประมาณ 17 - 28 องศา แต่ถ้าต้องการ ไปต่อเพื่อดูแสงเหนือในฤดูหนาวแล้วแวะเที่ยวออสโลก็คงต้องเตรียมรับมือกับอากาศให้พร้อม เพราะฤดูหนาวในออสโลจะมีอุณหภูมิเฉลี่ยที่ 0 - 25 องศา และสถานที่ท่องเที่ยวบางแห่งจะปิดให้บริการ เนื่อง จากสภาพอากาศ ที่เรียกได้ว่าหนาวเหน็บจนเจ็บเข่าเลยทีเดียว

Norwegian Airways

SAS

Thai Airways

visitoslo.com

ถนน Karl Johans Gate  คือเส้นทางสายช้อป เพราะมีทั้งห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร ร้านจำหน่ายของขวัญ ของที่ระลึกน่ารักสไตล์นอร์วีเจียน อย่างเช่น เรือไวกิ้ง ตุ๊กตาโทรล เนยแข็ง เทียนไข น้ำมันปลา ฯลฯ นอกจากคุณจะเพลิดเพลินกับการเดินช้อปแล้วอย่าลืมแบ่งเติมพลังด้วยศิลปะ เพราะออสโลก็ถือว่าเป็นแหล่ง รวมความรู้และศิลปะไว้ไม่น้อย มีทั้งแกลอรี่ และมิวเซียม รวมถึงสถานที่สวยงามทางประวัติศาสตร์ให้เที่ยวชม มากมาย ถ้าตั้งต้นจาก Oslo Central Station (Oslo S) ก็สามารถเดินไปชม Oslo's Opera House อาคารขนาด ใหญ่สีขาว ตั้งอยู่ทางด้านขวาของท่าเรือ หลังคาของอาคารจะสูงชัน และลาดเอียงเฉียงขึ้น เหมือนโผล่ขึ้นมาจาก ทะเล และมีลานสาธารณะ ที่สามารถเดินเล่นชมวิวของเมืองออสโล และฟยอร์ดได้ตลอดทั้งปี ซึ่งอาคารหลังนี้ ทางรัฐบาลต้องการให้เป็นศูนย์วัฒนธรรมที่สะท้อนเรื่องราวภูมิทัศน์ของนอร์เวย์ และวิถีชีวิตผู้คนในแถบนี้ โดยคัดเลือกผลงานการนำเสนอของบริษัท Snøhetta จากผู้ส่งแบบเข้าร่วมประมูล 700 ราย ตัวอาคารมีหน้าต่าง บานใหญ่ในระนาบเดียวกันกับถนน ทำให้นักท่องเที่ยวมองเห็นการซ้อม และกิจกรรมเวิร์คช็อปในอาคารประหนึ่งพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต การตกแต่งภายในของอาคารส่วนใหญ่เป็นไม้โอ๊ค มีห้องโถงใหญ่มีรูปร่างเหมือนเกือกม้า ตามแบบโรงละครในสมัยก่อน อาคารที่สวยงามแห่งนี้จึงนับเป็นแลนด์มาร์คที่พลาดไม่ได้อีกจุดหนึ่งของออสโล

Visitnorway.com

อีกจุดหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟ  Oslo Central Station ก็คือ Oslo Cathedral ศาสนสถานคู่บุญ ของเมืองออสโล ที่มีอายุมากกว่าสามร้อยปี ภายในตกแต่งเป็นสไตล์บาโรค ที่นี่ใช้เป็นสถานที่จัดพิธีมงคลสมรส และพิธีศพของพระราชวงศ์ในนอร์เวย์และงานสำคัญของรัฐบาล  ภายในมีงานศิลปกรรมที่น่าสนใจหลายชิ้น ตั้งแต่งานประติมากรรมแท่นพิธีด้านหน้าเป็นงานแกะสลักชิ้นดั้งเดิม ภาพจิตรกรรมฝาผนังเพดานขนาดใหญ่ ผลงานของ Hugo Lous Mohr หน้าต่างกระจกสีโดย Emanuel Vigeland ตัวโบสถ์ทางด้านทิศใต้ ออกแบบโดย สถาปนิก Arnstein Arneberg เป็นต้น จัดว่าเป็นสถานที่รวมสุดยอดฝีมือทางงานศิลป์แขนงต่างๆ ผสมผสานกัน ขึ้นมาเป็นโบสถ์สวยงามหลังนี้

ภาพถ่ายโดยVidar Nordli-MathisenบนUnsplash

ส่วนรอบนอกของเมืองออสโล ก็ยังมีที่เที่ยวที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง เริ่มต้นที่ สวนประติมากรรม วิกเกอร์ แลนด์ จัดแสดงผลงานประติมากรรมของ Gustav Vigeland (1869-1943) ประติมากรชาว นอร์เวย์ ที่รู้จักกันเป็น อย่างดี ชื่อเสียงของเขาได้รับการยืนยันจาก Vigeland Park ในออสโล ซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 340 เอเคอร์ ผลงาน ในสวนส่วนใหญ่ในสวนถูกออกแบบและสร้างขึ้นโดย Gustav Vigeland ท่ามกลางประติมากรรมกว่า 200 ชิ้นของเขา มีผลงานชิ้นเอกคือเสากลางอุทยานซึ่งเป็นแกรนิตที่มีความสูงถึง17 เมตร ชื่อ Monolitten แกะเป็นรูปคนมาก มาย ปีนป่ายกันอยู่บนเสา ใช้เวลาสร้างรวม 22 ปี จากหินแกรนิตเพียงแท่งเดียว รอบเสาแกะสลักเป็นเรื่องราว กงล้อแห่งชีวิต Wheel of Life และยังมีรูปหล่อสำริดของเด็กน้อยขี้โมโห หรือ Little Angry Boy ที่นี่เป็นหนึ่งใน สถานที่ท่องเที่ยวที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดแห่งหนึ่งของนอร์เวย์  ประมาณหนึ่งล้านคนต่อปี ได้รับความนิยมอย่าง มากทั้งคนในท้องถิ่น และนักท่องเที่ยว

Norwegian Airways

SAS

Thai Airways

visitnorway.com

ถ้าอยากจะดูไลฟ์สไตล์ของชาวออสโลว่ากินอยู่กันอย่างไร ก็ต้องไปแถวๆ ท่าเรือเอเคอร์บรูค (Aker Brygge) ที่นี่เคยเป็นที่ตั้งของอู่ต่อเรือ Akers Mekaniske Verksted ที่เฟื่องฟูมากในอดีต ปัจจุบันได้รับการปรับ ปรุงให้มีความโดดเด่นทางสถาปัตยกรรมยิ่งขึ้น ด้วยการผสมผสานระหว่างอาคารอู่ต่อเรือแบบเก่า และสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ให้เข้ากันอย่างกลมกลืน กลายเป็นพื้นที่อยู่อาศัยและออกไปชิลล์ของชาวออสโล มีทั้งบ้าน เรือน ร้านค้า ร้านอาหาร คาเฟ่ ผับบาร์แสนเก๋ ห้างสรรพสินค้า โรงละครโอเปร่า ในช่วงที่อากาศแจ่มใส Aker Brygge จะเต็มไปด้วยผู้คนทั้งกลางวันและกลางคืน บริเวณทางเท้าริมน้ำจะเต็มไปด้วยร้านอาหาร ที่มีทิวทัศน์ สวยงามของท่าจอดเรือ และฟยอร์ด คงเพราะเป็นประเทศที่มีอากาศหนาวยาวนาน ร้านอาหารของ Aker Brygge มีเก้าอี้กลางแจ้งมากกว่า 2,500 ที่นั่ง ที่นี่เหมาะกับการพักผ่อนรับแสงแดดในตอนกลางวัน และสนุกไป กับแสง สีเสียงของออสโลในยามราตรีจริงๆ

ภาพถ่ายโดยMichael AnkesบนUnsplash

วิวสวยของออสโลอีกแห่งหนึ่งที่น่าแวะเวียนไปชมก็คือ The ski museum in Holmenkollen ตั้งอยู่ใต้ แท่นกระโดดสกีที่มีชื่อเสียงเก่าแก่ที่สุดในโลก พิพิธภัณฑ์แห่งนี้รวบรวมประวัติศาสตร์การเล่นสกี ที่มีมายาวนาน กว่า 4,000 ปี รวมทั้งจำลองการสำรวจขั้วโลกของชาวนอร์เวย์ มีนิทรรศการเกี่ยวกับสโนว์บอร์ด และการเล่นสกี สมัยใหม่ไว้ด้วย แต่จุดที่ว้าวมากของที่นี่ก็คือ การขึ้นลิฟท์ไปยังหอสังเกตการณ์ที่อยู่ด้านบนสุดของแท่นปล่อยตัว กระโดดสกี ที่สามารถมองเห็นวิวเมืองออสโลได้ทั้งเมือง

Jose Pecina - Astronomía

สำหรับการท่องเที่ยวในออสโล ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวมักจะเดินทางมาในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือน กันยายน เพราะอากาศจะแจ่มใส แสงแดดสวย ต้นไม้ใบไม้มีสีสันงดงาม แต่ถ้าหากจะเดินทางมาในช่วงฤดูหนาว ก็จะได้อารมณ์ไปอีกแบบกับหิมะหนาๆ อากาศหนาวๆ แล้วยังสามารถเลยไปตามล่าหาแสงเหนือกันต่อได้อีกที่ เมืองทรอมโซ (Tromso) เมืองเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่บนเกาะกลางทะเลทางเหนือของนอร์เวย์ เชื่อมกับแผ่นดินใหญ่ด้วย สะพานสวยทอดยาว เมืองนี้เป็นที่นิยมและมีความพร้อมสำหรับนักท่องเที่ยว ที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์ทาง ธรรมชาติที่เรียกกันว่าแสงเหนือ การเดินทางจากออสโลโดยเครื่องบินจะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง แล้วต่อ Shuttle bus เข้ายังตัวเมืองได้เลย

Norwegian Airways

SAS

Thai Airways

PolybosStudio

ทรอมโซเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีการคมนาคมสะดวก มีร้านอาหาร และที่พักให้เลือกหลายแห่ง ตามแต่งบประมาณของนักท่องเที่ยว ที่สำคัญเป็นเมืองที่มีบรรยากาศดีมาก เพราะตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาที่โอบล้อมเมืองเอาไว้  บ้านเมืองก็มีสีสันสดใส ผู้คนก็เป็นมิตรน่ารักให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดี ฤดูกาลท่องเที่ยวของทรอมโซอยู่ในช่วงเดือนตุลาคม – เดือนมีนาคม ที่ผู้คนหลั่งไหลกันมาสัมผัสประสบการณ์แสงเหนือกันสักครั้งหนึ่งในชีวิต

การชมแสงเหนือจะเกิดขึ้นในตอนกลางคืน ช่วงเวลาตั้งแต่สี่ทุ่มเป็นต้นไป ถ้าค่ำคืนนั้นฟ้าเปิดเป็นใจ เพียงแค่นั่งรถออกไปให้ปลอดจากแสงไฟในเมือง ก็จะเห็นแสงเหนือได้อย่างที่ต้องการ ส่วนการเก็บภาพประทับ ใจวิธีง่ายๆ คือใช้กล้องในโหมด manual แล้วปรับรูรับแสงให้ f stop ต่ำที่สุด เพื่อรับแสงให้เข้ากล้องให้มากสุด สปีดชัตเตอร์ ประมาณ 4 - 10 วินาทีก็พอ เพราะถ้าแสงเข้ามาไป แสงเหนือจะเป็นปื้นไม่ขึ้นเป็นริ้วสวยอย่างที่เราต้องการ  และที่สำคัญอย่าลืมขาตั้งกล้อง ส่วนเสื้อผ้าขอให้จัดหนักจัดเต็มพร้อมปะทะกับความหนาว สวมฮีทเทคไว้ด้านใน แล้วโบกทับด้วยสารพัดเสื้อกันหนาวที่มี เสื้อไหมพรม เสื้อขนเป็ด พร็อพต่างๆ หมวก ที่ปิดหู ถุงมือ ถุงเท้า จัดไปให้เต็มที่อย่าให้ขาด ส่วนของรองเท้าก็สำคัญ เนื่องจากต้องเดินบนหิมะ ดังนั้นจึงควรใส่รองเท้าที่ยึดเกาะพื้นเกาะถนนได้ดีและกันความหนาวด้วย

Erwin Ried

นั่นคือกิจกรรมในยามค่ำคืนยอดนิยมของทรอมโซ แต่ถ้าเป็นช่วงกลางวันและต้องการเที่ยวชมเมือง ทรอมโซก็มีอาคารบ้านเรือนเก่าแก่ที่ชาวเมืองอนุรักษ์ไว้ให้เป็นเสน่ห์ของเมือง บ้านไม้โบราณหลายหลังมีอายุมากกว่าสองร้อยปี มีโบสถ์ไม้เก่าแก่ Tromso Lutheran Cathedral โบสถ์โปรแตสแตนท์ที่สร้างด้วยไม้ทั้งหลังแห่ง เดียวของนอร์เวย์ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1861 นอกจากนั้นก็ยังมีสิ่งปลูกสร้างเก่าแก่อีกหลายแห่งที่ชาวเมืองทรอมโซ่ อนุรักษ์ไว้ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกด้วย  โบสถ์ที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่ง คือ วิหารอาร์กติก เป็นโบสถ์ของคริสตจักรแห่งนอร์เวย์ ตั้งอยู่ในTromsdalen หุบเขาบนฝั่งตะวันออกของเมืองทรอมโซ  โบสถ์สร้างด้วยคอนกรีตและโลหะอันทันสมัยสร้างขึ้นในปี 1965 โดยสถาปนิก ยานกินเก้โฮวิก โบสถ์แห่งนี้มีที่นั่งประมาณ 600 คน


Stefan Zimmermann

นอกจากทรอมโซแล้ว ทางตอนเหนือของนอร์เวย์ก็มีจุดดูแสงเหนืออีกแห่งที่สวยงามไม่แพ้กัน นั่นคือ

Lofoten Islands  หมู่เกาะเล็กๆ ทางเหนือของประเทศนอร์เวย์ที่มีเมืองเล็กๆ ชื่อเมือง Nordland ตั้งอยู่ อย่างที่เรารู้กันดีว่าประเทศนอร์เวย์เคยเป็นดินแดนไวกิ้งมาแต่ก่อนเก่า ซึ่งดินแดนแถบนี้เคยเป็นที่อยู่ของชาวไวกิ้ง ปัจจุบันเป็นหมู่บ้านของชาวประมงที่หาปลาในช่วงฤดูหนาว และทำปลาตากแห้งส่งออกที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก เอกลักษณ์ที่สำคัญของหมู่เกาะแห่งนี้ก็คือ กระท่อมสีแดงแบบดั้งเดิม (Rorbu) ของชาวประมงซึ่งให้สีสันริมชายฝั่งที่สวยงาม ตัดกับความยิ่งใหญ่ของภูเขาที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะ สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับนักท่องเที่ยวได้อย่างตราตรึง เป็นหนึ่งในสถานที่สำหรับการดูแสงเหนือที่โรแมนติกที่สุดแห่งหนึ่งของนอร์เวย์

และด้วยทัศนียภาพที่สวยงามหลากหลายของ Lofoten Islands นักท่องเที่ยวยังสามารถทำกิจกรรมใกล้ชิดกับธรรมชาติได้หลายๆ อย่าง เช่น เล่นสกี ตกปลา ดำน้ำ หรือแม้แต่ โต้ คลื่น Lofoten ก็เป็นหนึ่งในจุดโต้คลื่นที่ดีที่สุดในนอร์เวย์ (ในฤดูร้อน) การเดินทางสามารถบินตรงจากออสโล ใช้เวลา 2-4 ชั่วโมงขึ้นอยู่กับ เมืองที่ไป

การท่องเที่ยวนอร์เวย์ยังมีเมืองที่น่าสนใจอีกมาก ส่วนใหญ่จะเป็นการเที่ยวที่เราจะได้ใกล้ชิดกับธรรม ชาติ และอากาศบริสุทธิ์ ด้วยกฎหมายที่เข้มงวดรวมถึงการอนุรักษ์และพัฒนาสถาปัตยกรรมต่างๆ ของเมือง  ทำให้นอร์เวย์เป็นสถานที่ซึ่งน่าจะหนีร้อนที่ไปเยือนกันสักครั้ง ก่อนเดินทางควรเตรียมสภาพร่างกายให้พร้อม สำหรับการเดินระยะไกลๆ โดยเฉพาะถ้าต้องไปในฤดูหนาวควรเตรียมเรื่องเสื้อผ้า และอุปกรณ์กันหนาวให้ ครบครัน ปลายปีนี้ ถ้ายังไม่มีโปรแกรมไปไหน นอร์เวย์ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจให้พวกเราจะได้หนีร้อน ไปชื่นใจ กับธรรมชาติและอากาศหนาวจนตัวแทบแข็ง .. แล้วเจอกัน

Norwegian Airways

SAS

Thai Airways

How to get there :

  • สายการบิน KLM บินสู่ออสโล แวะ 1 จุดที่อัมสเตอร์ดัม ใช้เวลาประมาณ 15.30 ชั่วโมง
  • การเดินทางท่องเที่ยวในเมืองออสโล คุณสามารถซื้อบัตร Oslo Pass ที่ให้คุณเข้าชมพิพิธภัณฑ์และสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ๆ ได้ฟรี 30 แห่ง ฟรีค่าบริการขนส่งสาธารณะทุกประเภท รวมถึงข้อเสนอพิเศษจากร้านค้า ร้านอาหารต่าง ๆ ที่เข้าร่วมบริการ บัตร 24 ชั่วโมง สำหรับผู้ใหญ่ ราคาประมาณ 1,584 บาท บัตร 72 ชั่วโมงราคาประมาณ 3,000 บาท (ขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนเงินและช่วงเวลาในการเดินทาง)

Where to stay

ออสโล

ทรอมโซ

โลโฟเทน

Travel Tips

  • นอร์เวย์ใช้เงินสกุลโครนนอร์เวย์ หรือที่รู้จักกันว่า Krones ชื่อย่อใช้อักษร NOK อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ประมาณ 1 โครนเท่ากับ 3.57 บาท (อัตรานี้อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับช่วงเวลาเดินทาง)
  • Hvordan går med deg วูดดัน โก เมได คือคำทักทายในภาษานอร์เวย์ แต่ถ้าต้องการพูดขอบคุณคือ

คำว่า Tusen takk ทูเซอนทัก

  • ช่วงเวลาของการดูแสงเหนือ ตั้งแต่ธันวาคมจนถึงมีนาคม แต่ช่วงสองเดือนสุดท้ายอากาศจะหนาวมาก นักท่องเที่ยวจะได้ชมวิวภูเขาหิมะตัดกับหมู่บ้านสีแดง แต่อากาศจะหนาวมาก และบางครั้งเส้นทาง ถูกปิดเพราะหิมะ
  • การถ่ายรูปแสงเหนือ ควรปรับกล้องเป็น manual แล้วปรับรูรับแสงให้ f stop ต่ำที่สุด ใช้สปีดชัตเตอร์ ประมาณ 4 - 10 วินาที และควรใช้ขาตั้งกล้อง
  • เตรียมพร้อมก่อนเดินทางด้วยการเช็คพยากรณ์อากาศและแสงเหนือ

www.yr.no 

http://www.aurora-service.eu

Writer: ปริดาพร  กองพิลา

travelbaradmin's picture

ABOUT THE AUTHOR

POSTED BY travelbaradmin | Thursday, August 29, 2019 - 12:23


admintator for web Travellerbar.com



RELATED FEED

POSTED BY travelbaradmin | Wednesday, January 03, 2024 - 15:18

Aurora Australis Tasmania


LEAVE A COMMENT

POSTED BY travelbaradmin | Friday, August 11, 2023 - 18:28

Khan al Khalili Market


LEAVE A COMMENT

POSTED BY travelbaradmin | Tuesday, July 25, 2023 - 15:57

Wagah Border Ceremony


LEAVE A COMMENT